

ผู้ก่อตั้ง
พระยาภิรมย์ภักดี
พระยา ภิรมย์ภักดี
ผู้ก่อตั้ง
พระยา ภิรมย์ภักดี
พระยาภิรมย์ภักดี มีนามเดิมว่า บุญรอด เศรษฐบุตร เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 เป็นบุตรของพระภิรมย์ภักดี (ชม เศรษฐบุตร) ในวัยเยาว์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากบิดา เรียนที่บ้านจนถึงอายุ 11 ปี จึงเข้าศึกษาต่อที่วัดกับพระสงฆ์ตามจารีตประเพณีของเด็กชายไทยสมัยนั้น หลังจากนั้นจึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนชายล้วน สามารถสอบได้คะแนนดีเยี่ยมในทุกวิชา อีกทั้งมีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษจากการเรียนกับมิชชันนารีชาวอเมริกัน
เมื่ออายุได้ 18 ปี นายบุญรอดเริ่มทำงานเป็นครู ก่อนจะเปลี่ยนไปทำงานเป็นเสมียนที่บริษัทค้าไม้นามว่า “กิมเซ่งหลี” หลังจากทำได้ 4 ปี จึงย้ายไปทำงานที่บริษัทเด็นนิมอตแอนด์ดิกซัน ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ของชาวอังกฤษ ต่อมาค่อยเริ่มประกอบธุรกิจค้าไม้เป็นของตนเองโดยได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายจ้างทั้งสอง นอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อเบลไซส์ (Belsize) จากสหราชอาณาจักรอยู่ระยะหนึ่งด้วย ก่อนจะหันมาทำธุรกิจเดินเรือข้ามฟาก ดำเนินการรับส่งผู้โดยสารข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างฝั่งพระนครกับธนบุรี ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จมากแม้จะมีคู่แข่งหลายราย แต่เมื่อทราบว่ารัฐบาลมีแผนจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้น พระยาภิรมย์ภักดีก็ตระหนักว่าธุรกิจของตนจะได้รับผลกระทบในระยะยาวเป็นแน่

พระยาภิรมย์ภักดีถวายภาชนะเบียร์เคลือบให้กับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) เมื่อปี พ.ศ. 2481
พระยาภิรมย์ภักดีเริ่มมีความคิดที่จะทำธุรกิจเบียร์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2472 และเพียง 1 ปีต่อมาก็ได้ยื่นขออนุญาตจัดตั้งโรงเบียร์แห่งแรกของไทยกับรัฐบาล ในระหว่างนั้นท่านก็ได้เดินทางไปศึกษาวิธีการผลิตเบียร์ที่ประเทศเยอรมนีและเดนมาร์กด้วย ความฝันของพระยาภิรมย์ภักดีกลายเป็นจริง เมื่อโรงเบียร์บุญรอดฯ ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ขณะนั้นพระยาภิรมย์ภักดีมีอายุ 60 ปี

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างโรงเบียร์บุญรอดฯ สองครั้งในปี พ.ศ. 2476
ในช่วงระหว่างการก่อสร้างโรงเบียร์บุญรอดฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงเบียร์ถึงสองครั้ง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 เพื่อทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ และครั้งที่สอง วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2476 เพื่อทอดพระเนตรตัวอาคารที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างโรงเบียร์บุญรอดฯ สองครั้งในปี พ.ศ. 2476
นอกจากนี้ ในพิธีเปิดโรงเบียร์เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระราชปิตุลาในรัชกาลที่ 7 และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งสยามในขณะนั้น ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธิเปิดโรงเบียร์ และแล้ว เบียร์ไทยขวดแรกก็ได้ออกสู่ท้องตลาดในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 แรกเริ่มนั้นมี 3 ยี่ห้อ ได้แก่ ตราสิงห์ ตราว่าวทอง และตราสถูป ซึ่งต่างปรุงด้วยสูตรที่แตกต่างกัน ตราสถูปดูเหมือนจะเป็นยี่ห้อแรกที่เลิกผลิตก่อน ด้วยยอดขายไม่เป็นที่น่าพอใจ

พระยาภิรมย์ภักดีกับบุตรชาย วิชัย และแขกบางคน
ในส่วนของตราสิงห์และตราว่าวทองกลายเป็นเบียร์หลักของโรงเบียร์อยู่ระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุด “ตราสิงห์” ก็เป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในระหว่างทางนั้น โรงเบียร์บุญรอดฯ ยังได้ทดลองผลิตเบียร์ยี่ห้ออื่นๆ อีกหลายชื่อ โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างแดนเกิดขาดแคลนกระทั่งไม่สามารถนำเข้าได้เลย จึงได้มีการผลิตเบียร์ “ตราหมี” และ “ตรากุญแจ” ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศมาผลิตแทน เมื่อวัตถุดิบทุกอย่างหมดสิ้น โรงเบียร์บุญรอดฯ จึงต้องหันมาพึ่งการผลิตน้ำโซดาและน้ำแข็งเพื่อประคับประคองกิจการให้ผ่านพ้นช่วงสงครามไปได้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เบียร์สิงห์ก็ได้กลายเป็นเบียร์เพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติ

พระยาภิรมย์ภักดีในงานแข่งขันว่าวหลวง
พระยาภิรมย์ภักดี
พระยาภิรมย์ภักดีเป็นผู้มีจิตสาธารณกุศล ในช่วงชีวิตท่านได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมหลากหลายด้าน ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข งานราชการ ตลอดจนงานบรรเทาสาธารณภัยด้านอัคคีภัย อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญด้านกีฬาว่าวที่ถือเป็นกีฬาประจำชาติในยุคนั้น ท่านได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับการแข่งขันว่าวไว้ด้วย และยังเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นนักดับเพลิงด้วยตนเองหลายครั้ง โดยใช้เรือข้ามฟาก 3 ลำของบริษัทตนเองที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าช่วยดับไฟที่โหมไหม้บ้านเรือนริมสองฝั่งน้ำ ด้วยคุณความดีหลายประการ ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงภิรมย์ภักดี จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ขณะมีอายุ 39 ปี ต่อมา ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระภิรมย์ภักดี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2459 ขณะมีอายุ 44 ปี และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาภิรมย์ภักดี เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 ขณะมีอายุ 52 ปี อย่างไรก็ตามบรรดาศักดิ์นี้ได้ถูกยกเลิกไปหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
พระยาภิรมย์ภักดี สมรสกับคุณหญิงละม้าย และมีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ วิทย์ ประจวบ และจำนงค์ ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2493 สิริอายุได้ 77 ปี
อัปเดต 31 กรกฎาคม 2565